PHEV และ EV ต่างกันอย่างไร ลุยน้ำท่วมได้ไหม ?

การเลือกซื้อรถยนต์ในปัจจุบัน มีหลายเรื่องที่ต้องคำนึงถึง ทั้งในแง่ของสมรรถนะ, ออปชัน, ความคุ้มค่า และปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่รถยนต์มีทางเลือกมากมายให้กับผู้บริโภคในแง่ของขุมกำลัง ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์สันดาป (ICE), รถยนต์ไฮบริด (HEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยรถยนต์แต่ละประเภทต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้บริโภคแต่ละคนจะมีความต้องการและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน

 

ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่าง รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในแง่ของการใช้งาน ความคุ้มค่า และความสามารถในการลุยน้ำ เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน มีฝนตกหนักในหลาย ๆ พื้นที่ และมีน้ำท่วมขังสูงอยู่บ่อยครั้ง มาดูกันรถรถทั้ง 2 ประเภทนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และรถประเภทไหนที่เหมาะกับคุณ

 

พลังงานที่ใช้ขับเคลื่อน

เริ่มกันที่พลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ทั้ง 2 ประเภทนี้ ที่จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างพอสมควร โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) : เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์สันดาป (ICE) และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไว้ด้วยกัน โดยรถยนต์ประเภทนี้จะมีจุดเด่นคือ สามารถชาร์จไฟเข้าตัวแบตเตอรี่ได้โดยตรง (เหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้า) และจะสามารถวิ่งได้ด้วยโหมดไฟฟ้า 100% ได้ไกลกว่ารถยนต์ไฮบริด (HEV) หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ รถยนต์ประเภทนี้เปรียบเสมือนการรวมรถยนต์แบบไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไว้ด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น Haval H6 PHEV ซึ่งสามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้า 100% ได้ไกลถึง 201 กิโลเมตร แต่ก็ยังสามารถเติมน้ำมันแบบรถยนต์ไฮบริดได้นั่นเอง

  • รถยนต์ไฟฟ้า (EV) : เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังขับเคลื่อนจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า 100% โดยจะต้องชาร์จไฟจากสถานีชาร์จหรือตู้ Wall Charge ที่บ้าน โดยรถประเภทนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ความประหยัด เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายในการเติมพลังงานอยู่ที่ 0.8 – 1.2 บาท ต่อกิโลเมตร (ราคาเปลี่ยนแปลงตามลักษณะการชาร์จ เช่น ชาร์จที่บ้าน หรือชาร์จที่สถานีชาร์จ)

 

ระยะทางการขับขี่

มาต่อกันที่ระยะทางการขับขี่ของรถยนต์ทั้ง 2 ประเภท ซึ่งจะมีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่แตกต่างกันดังนี้

  • รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) : รถยนต์ประเภทนี้ เรียกได้ว่ามีระยะทางการขับขี่ที่ “ไม่จำกัด” เพราะต้องอย่าลืมว่าหากไฟฟ้าในแบตเตอรี่หมดลง ก็ยังมีเครื่องยนต์ที่พร้อมจะพาคุณเดินทางไปต่อได้อย่างสบาย ๆ แต่ถ้าน้ำมันหมด ก็ต้องเข้าปั๊มน้ำมัน
  • รถยนต์ไฟฟ้า (EV) :
    • EV: ระยะทางการขับขี่ขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ โดยทั่วไปสามารถขับได้ระหว่าง 150-500 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาดของแบตเตอรี่
    • PHEV: มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวระหว่าง 20-80 กิโลเมตร แต่เมื่อรวมกับการใช้น้ำมันแล้วสามารถขับได้หลายร้อยกิโลเมตร ทำให้เหมาะสมสำหรับการเดินทางไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จไฟ

 

ความสามารถในการลุยน้ำท่วม

  1. EV: รถยนต์ไฟฟ้ามีความสามารถในการลุยน้ำท่วมได้ดีในระดับหนึ่ง เนื่องจากมอเตอร์และแบตเตอรี่ได้รับการออกแบบให้มีการป้องกันน้ำเข้ามาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ระดับน้ำที่ปลอดภัยขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละรุ่น บางรุ่นสามารถลุยน้ำได้ลึกถึง 60 เซนติเมตรหรือมากกว่า
  2. PHEV: รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมีความสามารถในการลุยน้ำท่วมคล้ายกับ EV แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้งานเครื่องยนต์สันดาปภายในเมื่อขับผ่านน้ำลึก เนื่องจากน้ำสามารถเข้าไปในเครื่องยนต์ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ดังนั้น ระดับน้ำที่ปลอดภัยจึงมักจะต่ำกว่า EV เล็กน้อย

 

สรุป

การเลือกใช้ PHEV หรือ EV ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและความต้องการของผู้ขับขี่ หากคุณต้องการรถที่ไม่ปล่อยมลพิษและสามารถชาร์จได้สะดวกในบ้าน EV อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากคุณต้องการความยืดหยุ่นในการเดินทางไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟ PHEV อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า

ในเรื่องของการลุยน้ำท่วม ทั้ง EV และ PHEV มีความสามารถที่ใกล้เคียงกัน แต่ควรระมัดระวังเรื่องระดับน้ำที่ปลอดภัยตามที่ผู้ผลิตระบุไว้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์

 

อย่าลืมเข้ามาสัมผัสรถยนต์ของ Great Wall Motor ที่มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ และความสะดวกสบายเหนือระดับ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ ORA, รถยนต์เอสยูวีไฮบริดจากแบรนด์ HAVAL, เอสยูวีสายลุยจากแบรนด์ TANK รวมถึงรถกระบะระดับพรีเมียมจากแบรนด์ POER ได้แล้วที่ GWM Partner Store อมรรัชดา

ลงทะเบียนทดลองขับ คลิก !!

Location: GWM อมรรัชดา https://maps.app.goo.gl/k2yYTGz3881nZaK38?g_st=ic

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line https://lin.ee/axnS7os?(@gwmamornratchada) โทร. 02 513 8000