เมื่อมองไปที่แกลอนน้ำมันเครื่อง ก็จะเห็นรายละเอียดและข้อมูลหลายอย่างที่ปรากฏอยู่บนฉลาก ซึ่งอาจทำให้รู้สึกสับสนได้สำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับคำศัพท์และตัวเลขที่ปรากฏอยู่ การทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้จึงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมที่สุดกับรถของคุณได้ บทความนี้จะช่วยไขความลับเกี่ยวกับตัวเลขและตัวอักษรบนแกลอนน้ำมันเครื่อง ตั้งแต่การอ่านค่าตัวเลขหน้าและหลัง “W” ไปจนถึงความหมายของมาตรฐาน API
ข้อมูลที่อยู่บนแกลอนน้ำมันเครื่อง
บนแกลอนน้ำมันเครื่อง โดยทั่วไปจะมีข้อมูลที่สำคัญอย่างน้อย 4 ส่วน ได้แก่:
- ชนิดของน้ำมันเครื่อง เช่น น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 100% หรือกึ่งสังเคราะห์
- เกรดความหนืดของน้ำมัน เช่น 5W-30, 10W-40)
- มาตรฐานคุณภาพของน้ำมัน เช่น API, ACEA, ILSAC
- คำแนะนำจากผู้ผลิต เช่น ใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซิน เป็นต้น
ข้อมูลเหล่านี้ล้วนสำคัญสำหรับการเลือกน้ำมันเครื่องที่ตรงกับความต้องการของเครื่องยนต์ และจะช่วยให้เครื่องยนต์ของคุณทำงานได้อย่างราบรื่นในทุกสภาวะ
ตัวเลขหน้า “W” ของน้ำมันเครื่องคืออะไร
ตัวเลขหน้า “W” (เช่น 5W, 10W ในค่า 5W-30 หรือ 10W-40) เป็นตัวเลขที่ใช้บ่งบอกความหนืดของน้ำมันเครื่องเมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำ โดย “W” มาจากคำว่า “Winter” ซึ่งหมายถึงฤดูหนาว
น้ำมันเครื่องที่มีตัวเลขหน้า “W” ต่ำกว่าจะมีความหนืดที่ต่ำกว่าในสภาพอากาศเย็นหรือตอนสตาร์ทเครื่องยนต์ในสภาวะเย็น ซึ่งส่งผลให้เครื่องยนต์สามารถสตาร์ทได้ง่ายขึ้นและลดการสึกหรอของชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ ตัวเลขนี้มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่ใช้งานในสภาพอากาศที่หนาวเย็น
ตัวอย่าง
- 5W: น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดต่ำในสภาวะเย็น สตาร์ทเครื่องได้ง่ายกว่า
- 10W: น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งอาจมีความทนทานกว่าในสภาพอากาศที่ไม่เย็นจัด
ตัวเลข “ด้านหลัง” W คืออะไร
ตัวเลขด้านหลัง “W” (เช่น 30, 40 ในค่า 5W-30 หรือ 10W-40) บ่งบอกถึงความหนืดของน้ำมันเครื่องเมื่ออยู่ในอุณหภูมิสูง โดยปกติแล้ว ความหนืดของน้ำมันเครื่องจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ ยิ่งอุณหภูมิสูง น้ำมันจะยิ่งมีแนวโน้มไหลง่ายมากขึ้น
การเลือกตัวเลขด้านหลัง “W” ที่เหมาะสมกับรถของคุณจะช่วยให้การหล่อลื่นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยขึ้นอยู่กับการออกแบบของเครื่องยนต์และคำแนะนำจากผู้ผลิต ตัวเลขที่สูงขึ้นเช่น 40, 50 มักหมายถึงน้ำมันเครื่องที่หนืดขึ้นในสภาวะร้อน ซึ่งจะเหมาะกับเครื่องยนต์ที่ต้องการน้ำมันที่คงตัวในอุณหภูมิสูง หรือการใช้งานที่ต้องรับภาระหนัก เช่น การลากจูง เป็นต้น
ตัวอย่าง:
- 5W-30 น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดต่ำในอุณหภูมิต่ำ และมีความหนืดเหมาะสมในอุณหภูมิสูง
- 10W-40 น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดสูงขึ้นในอุณหภูมิสูง และทนทานในเครื่องยนต์ที่รับภาระหนักมากขึ้น
API ย่อมาจากอะไร และคืออะไร
API ย่อมาจาก American Petroleum Institute ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานคุณภาพและคุณสมบัติของน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล เครื่องหมาย API เป็นตัวบ่งชี้ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกน้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพและเหมาะสมตามข้อกำหนดของเครื่องยนต์ได้อย่างถูกต้อง
มาตรฐาน API จะถูกระบุบนแกลอนน้ำมันเครื่องด้วยตัวอักษรเริ่มต้นว่า “S” สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และ “C” สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยมีตัวอักษรภาษาอังกฤษตามหลัง ซึ่งจะแสดงถึงระดับของมาตรฐานและประสิทธิภาพที่สูงขึ้นตามลำดับ เช่น SA, SB, SC ไปจนถึง SN, SP ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ล่าสุด
API S.. มีความหมายว่าอย่างไร
สำหรับน้ำมันเครื่องที่ใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน จะระบุด้วยตัวอักษร “S” และมีตัวอักษรภาษาอังกฤษตามหลังเพื่อบ่งบอกถึงระดับของมาตรฐานที่สูงขึ้น
- API SA: มาตรฐานเริ่มต้นที่พัฒนาในอดีตและเหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซินรุ่นเก่า
- API SL: ใช้สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตหลังจากปี 2001 มักมีคุณสมบัติเพิ่มเติมในเรื่องของการลดการสึกหรอและการประหยัดน้ำมัน
- API SN: ใช้กับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตหลังจากปี 2010 มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ช่วยลดการสะสมของคราบเขม่าและประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น
- API SP: เป็นมาตรฐานใหม่ล่าสุดที่เหมาะกับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่มีระบบการประหยัดน้ำมันสูงและลดการปล่อยมลพิษ
การเลือกน้ำมันเครื่องที่มีมาตรฐาน API และมีข้อบ่งใช้ที่เหมาะสมสำหรับรถของคุณ จะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและทนทานมากยิ่งขึ้น มาตรฐาน API นี้ได้รับการปรับปรุงเรื่อย ๆ เพื่อตอบโจทย์เครื่องยนต์สมัยใหม่ที่มีการพัฒนาในด้านความสามารถและเทคโนโลยีที่สูงขึ้น
การเข้าใจตัวเลขและตัวอักษรที่ระบุบนแกลอนน้ำมันเครื่อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราสามารถเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกต้องและเหมาะสม แต่ยังช่วยปกป้องเครื่องยนต์และยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การเลือกน้ำมันที่มีความหนืดเหมาะสมตามอุณหภูมิ ไปจนถึงมาตรฐาน API ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและความต้องการของเครื่องยนต์สมัยใหม่
อย่าลืมเข้ามาสัมผัสรถยนต์ของ Great Wall Motor ที่มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ และความสะดวกสบายเหนือระดับ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ ORA, รถยนต์เอสยูวีไฮบริดจากแบรนด์ HAVAL, เอสยูวีสายลุยจากแบรนด์ TANK รวมถึงรถกระบะระดับพรีเมียมจากแบรนด์ POER ได้แล้วที่ GWM Partner Store อมรรัชดา
ลงทะเบียนทดลองขับ คลิก !!
Location: GWM อมรรัชดา https://maps.app.goo.gl/k2yYTGz3881nZaK38?g_st=ic
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line : https://lin.ee/axnS7os (@gwmamornratchada)
โทร. 02 513 8000